บทความนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์และความประทับใจของเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ Discover Patani ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิความร่วมมือสันติภาพ (PRC) ที่ได้นำเยาวชนจากทั่วประเทศและเยาวชนจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ความขัดแย้งและสันติภาพ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม
An essay for discover PATANI
เนรัญธิญา สรรพประเสริฐ (เกรป)
บทความสะท้อนความคิดที่ได้จากการลงพื้นที่กับโครงการ Discover PATANI
“ทำไมเธอถึงสนใจพื้นที่นี้จังเลย” เพื่อนของฉันที่มาจาก ‘ปาตานี’ ซึ่งรู้จักกันได้เพียงหนึ่งวันถามขึ้นด้วยแววตาสงสัยเสียเต็มประดาเมื่อฉันถามคำถามเกี่ยวกับพื้นที่ ‘สามจังหวัดชายแดนใต้’กับเพื่อนคนนี้มาร่วมกว่าครึ่งชั่วโมง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการลงพื้นที่กับโครงการ discover patani ในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ความตรึงตาตรึงใจของปาตานียังคงติดอยู่ในใจ จนอดชวนเพื่อนคุยไม่ได้ “เราเรียนรัฐศาสตร์ไง” ฉันตอบ พร้อมยิ้มเบาๆ ไม่ได้คิดว่าการที่เราสนใจพื้นที่นี้จะเป็นเรื่องไม่ปกติ และยิ่งติดตามข่าวสารบ้านเมืองบ้างแล้ว พื้นที่นี้ย่อมเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรุนแรงที่ปรากฎบนข่าวไม่เว้นแต่ละวัน
“ไม่จำเป็นสักหน่อย” เพื่อนตอบ
นั่นสิ ไม่จำเป็น แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเราจะถึงไม่สนใจกันล่ะ เว้นเสียแต่ว่าเราหลงลืมพวกเขา – ผู้คนที่ถูกกดขี่จากรัฐไทย และเผชิญหน้ากับรุนแรงในทุกมิติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
..
1 วันหลังหลังเหตุระเบิดทั่วสามจังหวัด จำนวน 11 จุด รถตู้จากหาดใหญ่กำลังเดินทางเข้าสู่จังหวัดปัตตานี ยิ่งใกล้เข้าสู่จังหวัดปัตตานีเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งตื่นเต้นเท่านั้น ฝนตกปรอยๆ ช่วยเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเดินทาง การได้มา ‘ปาตานี’ – ปัตตานี ยะลา นราธิวาส – สำหรับข้าพเจ้าคือจุดหมายหนึ่งของการมีชีวิต เป็นความฝันที่อยากลองมาสัมผัสสักครั้ง ข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ข่าวภาคค่ำทางทีวี หรือคำบอกเล่าที่พูดถึงสามจังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส มีอยู่ให้เห็นทุกวี่วัน ปรากฏขึ้นให้เราได้รับรู้อยู่เกือบยี่สิบปีว่าพื้นที่นี้คือ ‘พื้นที่แห่งความรุนแรง’ มีกองกำลังติดอาวุธ ระเบิด ทหารถูกฆ่า ประชาชนไม่ปลอดภัย แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่ายังมีความจริงอีกด้านที่หลายคนยังไม่เคยได้สัมผัส รวมถึงข้าพเจ้าด้วย เพราะเหตุผลนี้ความตื่นเต้นจึงก่อตัวขึ้นราวกับมีคนรัวกลองในอก สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกคือ ทุกอย่างที่นี่ดูปกติดี สองข้างทางเป็นบ้านผู้คนหลังเล็กหลังน้อย มีตลาดที่ผู้คนจับจ่ายใช้สอยจำนวนมาก มอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายริมถนน ยิ่งเข้าเขตเมืองก็ยิ่งครึกครื้น ผู้คนทุกเพศทุกวัยออกมาใช้ชีวิตยามเย็น “ที่นี่ไม่ได้เป็นแบบที่คนคิดกันหรอก” พี่เอ (นามสมมติ) พนักงานโรงแรมที่พวกเราไปพัก กล่าวกับข้าพเจ้าด้วยแววตาเป็นมิตร
‘ไม่ได้เป็นแบบที่คนคิด’ ในความหมายที่ว่า คนที่นี่ไม่ได้เป็นโจร ไม่ได้พกระเบิด ไม่ได้อยู่ดีๆ เอาปืนออกมายิง หรือเต็มไปด้วยกับระเบิด ตายได้ทุกวินาทีแบบที่เรา – คนไทย – มีภาพจำมาตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะมีคำบอกเล่าจากคนในพื้นที่ หรือมีสิ่งที่ผัสสะทางดวงตาของข้าพเจ้ารับรู้ด้วยตนเอง ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พื้นที่แห่งนี้มีความไม่ปรกติซ่อนอยู่ภายใต้การถูกบังคับให้ชินชา
..
ถนนหนทางในเขตสามจังหวัดนี้ มีด่านตรวจที่มีทหารประจำการอยู่เป็นระยะ
..
ยามพลบค่ำ ทางโครงการได้พาเราออกมาเดินตลาดหน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือที่คนที่นี่เรียกว่าถนนหน้ามอ/สายมอ เพื่อรับประทานอาหารและได้ลองเดินตลาดที่นี่เป็นครั้งแรกด้วย แต่สิ่งที่ตื่นเต้นคือการได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะเห็น “เฮ้ย ลืมถ่ายยยย” ข้าพเจ้าส่งเสียงออกมากับเพื่อนเมื่อเห็นรถกระบะบรรทุกทหารถือปืน ติดอาวุธเต็มคราบอยู่ที่หลังกระบะประมาณ 3 นายขึ้นไปขับผ่านตลาดหน้ามอ คาดว่าคงออกมาลาดตระเวน ทุกอย่างเกิดเร็วมาก และข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน แต่ในความรู้สึกตื่นเต้นนั้นกับระคนไปด้วยความกลัว โกรธ หดหู่ หลังจากที่ได้ยิน ‘ซาฟีย์’ เพื่อนของข้าพเจ้าที่บ้านอยู่ที่นี่พูดต่อ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มาอีก รอดูสิ” ซาฟีย์พูดด้วยน้ำเสียงเบาสบาย ปนปลงๆ แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกช็อก ที่นี่ได้เห็นภาพแบบนี้เป็นปกติหรือ ? ในขณะเดียวกันที่ซาฟีย์ปลงขนาดนั้น ก็ไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่โกรธ ไม่กลัว ไม่หดหู่ แต่ข้าพเจ้าเข้าใจได้เหลือเกินว่า เธอถูกบังคับให้ชินผ่านสถานการณ์แวดล้อมที่หากเราไม่ได้เป็นคนในพื้นที่นี้ เราอาจจะไม่ได้พบเจอเหตุการณ์เหล่านี้ เห็นทหารติดอาวุธแบบนี้ มีด่านตรวจแทบนับไม่ถ้วน ผู้คนถูกคุกคามแบบนี้ ถูกทรมานอุ้มหาย วิสามัญฆาตกรรมเป็นว่าเล่น ถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเป็นคนสามจังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้ ความน่าตื่นเต้นของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดและละอายเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคนที่นี่ต้องเผชิญความหวาดกลัว ความสูญเสีย และการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติ จากบทความ “ความรุนแรงในกลุ่มจังหวดชายแดนใต้ของประเทศไทย: สภาพการณ์ แนวโน้มและแบบแผน 2547-2561”
โดยอันเดอร์ แองวัลล์ สำรวจโดย Deep south watch ได้ระบุไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2547 – 2561 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 6,924 ราย ไม่นับผู้บาดเจ็บ หรือพิการอีกกว่าหมื่นราย นี่เป็นความสูญสียที่นับได้จากตัวเลขมีสถิติมารองรับ ส่วนความสูญเสียที่นับไม่ได้ก็อาจจะมีอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะกับความรู้สึกทางใจที่คนในพื้นที่นี้ต้องแบกรับ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหา เหตุใดการเจรจาไม่อาจนำไปสู่สันติ? เหตุใดแม้มีทหารถืออาวุธครบมือ ก็ไม่อาจก่อให้เกิดความสงบ? เหตุใดยังต้องมีกฎหมายพิเศษ? และอีกหลายคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นจำนวนผู้เสียชีวิตจากวงจรอุบาทว์ที่รัฐไทยเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง
สิ่งเหล่านี้คือความรุนแรงที่กระทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่นี้เพียงเพราะเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ยังมีความรุนแรงในอีกมิติที่ทำให้พื้นที่นี้ตึงเครียด สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน หมกอยู่ใต้พรมแห่งความปรกติที่เกิดจากความหวาดระแวงของรัฐไทย ในประการที่ ‘คนนอก’ อาจจะไม่ทราบเลยคือ ณ พื้นที่ปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนใต้นั้นตกอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากตรงนี้ใช้เพียงกฎหมายเดียว นี่คือประการแรกที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงในอีกมิติ คือการเลือกปฏิบัติต่อประชาชน เป็นความไม่เท่าเทียมต่อการดำรงอยู่ของพื้นที่และผู้คนที่รัฐไทยพยายามกฎขี่ กดทับให้อยู่ภายใต้อำนาจพิเศษ กล่าวคือ การตกอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457; พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 นั้น เอื้อให้รัฐไทยกระทำการใดๆ อันเป็นที่มาซึ่งความรุนแรงได้อย่างไม่จำกัด ในเมื่อการตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
“พื้นที่นี้คือพื้นที่แห่งการปะทะทางความคิด” เพื่อนของข้าพเจ้าตอบ เมื่อข้าพเจ้ายิงคำถามว่าถ้าไม่นิยามว่าพื้นที่นี้คือพื้นที่แห่งความรุนแรงแล้ว อยากเล่าหรืออยากบอกคนข้างนอกว่าอย่างไร? และคำตอบนี้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นภาพในพื้นที่นี้ได้ชัดขึ้น พื้นที่นี้มีอัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่ชัดทั้งคนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน มลายูเชื้อสายจีน มลายูมุสลิม เป็นพื้นที่แห่งการควบแน่นทางวัฒนธรรม ทุกอย่างของทุกกลุ่มต่างเด่นชัด แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบโดยรัฐไทย ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ในช่วงการปักหมุดแผนที่รัฐไทย (ไทยยังเป็นสยาม) การสร้างชาติไทยในสมัยจอมพลป. ที่พยายามทำให้ทุกคนเป็นไทย จนถึงปัจจุบันภายใต้ระบอบเผด็จการ ความรุนแรงคงไม่เกิดอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รัฐไทยพยายามทำต่อคนและพื้นที่นี้ คือการใช้อำนาจในทุกระดับและทุกมิติของสังคม แทรกซึมเพื่อลดทอนอัตลักษณ์หนึ่งๆ โดยเฉพาะมลายูมุสลิม ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ การศึกษา ภาษา เศรษฐกิจ การบริหารราชการ กฎหมาย สิทธิมนุษยชน และการใช้อาวุธ สิ่งที่รัฐไทยทำได้ค่อนข้างสำเร็จคือการสร้างภาพจำอันก่อให้เกิดมายาคติต่อคนและพื้นที่นี้ กำเนิดวาทะกรรมโจรใต้ แบ่งแยกดินแดน กองกำลังติดอาวุธ ผู้คนใช้แต่ความรุนแรง มีแต่ระเบิด ฯลฯ ผ่านสื่อช่องหลัก หรือ mass media ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา หากแต่ไม่พูดถึงต้นตอ สาเหตุของปัญหา และความรุนแรงที่ตนเป็นผู้ก่อขึ้นต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อันนำไปสู่การสร้างอิทธิพลทางความคิด ก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกลุ่มเชื้อชาติและศาสนา ไม่เพียงแต่คนในพื้นที่ที่หวาดระแวงกันเอง แต่คนนอกพื้นที่ยังระแวง กลัว และเกิดอคติต่อพื้นที่และพี่น้องสามจังหวัดชายแดนใต้อย่างยากจะแก้ไข (พบเห็นได้ตามคอมเมนต์เฟซบุ๊ค) อคติที่เกิดขึ้นนี้กดทับพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ยิ่งขึ้นไปอีก เป็นความรุนแรงในอีกมิติที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและการใช้ชีวิต ถูกด่าทอ เหยียดหยาม เลือกปฏิบัติ และถูกกีดกันทางอาชีพ เป็นต้น ความเกลียดชังและอคตินี้ อาจนำมาซึ่งความรุนแรงในเชิงกายภาพหรือการมุ่งหมายเอาชีวิตได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าคนในพื้นที่เกลียดกันหรืออยู่กันด้วยความระหวาดระแวงเท่านั้น เนื่องจากประสบการณ์จากการลงพื้นที่ก็พบว่า คนที่นี่ไม่ว่าจะสวมฮิญาบ กะปิเยาะหรือไม่ ผู้คน/ประชาชนก็อยู่ด้วยกันอย่างดี
หากแต่รัฐต่างหากที่พยายามขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนขึ้นด้วยวาทกรรมและการสร้างมายาคติ ยิ่งไปกว่านั้น หากถอยกลับมาในมุมเศรษฐกิจ การที่เกิดภาพจำลบๆ จากสิ่งที่รัฐไทยและสื่อพยายามสร้าง อาจส่งผลให้ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ – เช่น คนจากจังหวัดอื่นไม่กล้ามาเที่ยวเพราะกลัวไม่ปลอดภัย ไม่นับรวมถึงราชการส่วนภูมิภาคที่ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่นี้ พัฒนาไม่ต่อเนื่อง บริหารราชการด้วยข้าราชการที่พร้อมย้าย/เกษียณตลอดเวลา ไม่มีนโยบายที่เอื้อให้เกิดเม็ดเงิน ไม่เกิดการลงทุน ไม่เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เพราะการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไม่เกิด ทำให้คนในพื้นที่นี้ติดอันดับความยากจนเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ แล้วประชาชนจะเห็นความจริงใจในการแก้ปัญหาได้อย่างไร? เพราะแม้แต่เรื่องปากท้องยังทำให้คนในพื้นที่นี้ไม่ได้ ประชาชนจะเห็นได้อย่างไรว่ารัฐไทยหวังดีต่อพื้นที่และผู้คนจริงๆ? ทั้งที่ในความเป็นจริง พื้นที่นี้คือพื้นที่แห่งศักยภาพ เป็นจังหวัดชายแดน มีโอกาสเอื้อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้อย่างดี มีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเพราะมีทะเล ป่าเขา มีวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่เด่นชัด หากตั้งใจลดความรุนแรง จริงใจในการแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกันในเรื่องดินแดน หรือแม้แต่เริ่มจากการพัฒนาคุณภาพชีวิต ข้าพเจ้าเชื่อว่าสามจังหวัดชายแดนใต้ ไปได้ไกลมากกว่านี้อย่างแน่นอน
..
ความสุขและความหวัง
การได้ออกมาพูดคุยกับเพื่อนที่ร้านน้ำชา ในจังหวัดปัตตานีคือสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจที่สุดในโครงการนี้ เพราะนอกจากชาอร่อย ยังได้เห็นวัฒนธรรมของคนที่นี่อย่างเด่นชัด ร้านน้ำชาก็เหมือนสภากาแฟที่ผู้คนเข้ามาพบปะ พูดคุย สนุกสนานกับการใช้ชีวิต แทนที่การเข้าร้านเหล้าที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกับแกล้ม ที่นี่ก็เป็นน้ำชาและโรตีแทน ระหว่างที่พูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสามจังหวัด ข้าพเจ้าก็อยากถามคำเดิมซ้ำอีกครั้งกับเพื่อนอีกคน สำหรับฮายาตี หญิงสาววัย 19 ปีคนนี้แล้ว ปาตานีคือ “พื้นที่แห่งความหวัง” เธอหวังว่าบ้านเมืองของเธอจะปราศจากความรุนแรงจากรัฐ ไม่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หวังว่าผู้คนที่นี่จะได้ลืมตาอ้าปาก หวังว่าจะมีพื้นที่หรือดินแดนที่เธอปรารถนาเหมือนที่คนปาตานีทุกคนปรารถนา ส่วนซาฟีย์ หากขอได้หนึ่งอย่าง เธอขอให้ปาตานีเป็น “พื้นที่ที่ได้หายใจ” เธอกล่าวต่อว่า “แค่ได้หายใจก่อน เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ตามมาก็ยังได้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรือเจตจำนงทางการเมือง” เพราะทุกวันนี้คนในพื้นที่นี้ – โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลายูมุสลิม ต้องสงสัยจากรัฐได้ทุกเมื่อทุกคน ถูกคุกคามถึงบ้านแม้ในที่ที่ควรปลอดภัยที่สุด ทั้งบ้านในความหมายของที่อยู่อาศัย และบ้านในความหมายของ ‘ดินแดนปาตานี’
..
แบ่งปันเรื่องเล่าโดย
เนรัญธิญา สรรพประเสริฐ
660 ครั้ง